ผลการวิจัยที่ได้รับ

ด้านเศรษฐกิจ

งานวิจัยสามารถช่วยให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคขุนลดต้นทุนการผลิตได้เฉลี่ย 5% ผ่านการใช้ฐานข้อมูลและการวิเคราะห์ด้วย AI เช่น การวิเคราะห์สูตรอาหารโคที่เหมาะสม การจัดการสุขภาพโค และการติดตามประสิทธิภาพการเลี้ยงแบบเรียลไทม์
นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มโอกาสทางการตลาดและสร้างช่องทางการจำหน่ายใหม่ เช่น ระบบประมูลซากโคขุนออนไลน์ ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยของเกษตรกรเพิ่มขึ้นถึง 15% ซึ่งถือเป็นการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของเกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจชุมชน

ด้านสังคม

การถ่ายทอดองค์ความรู้จากโครงการสู่เกษตรกรชุมชนกว่า 500 ราย ช่วยสร้างบุคลากรที่มีศักยภาพด้านการเลี้ยงโคขุนแบบอัจฉริยะ โดยแบ่งออกเป็น 4 ระดับตามศักยภาพและบทบาท ได้แก่

  • ระดับ 4 (นายสถานี) จำนวน 50 ราย : ทำหน้าที่เป็นผู้นำเครือข่าย ถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรรายอื่น
  • ระดับ 3 จำนวน 12 ราย : เกษตรกรต้นแบบที่สามารถใช้เทคโนโลยีในการเลี้ยงโคขุนได้อย่างเชี่ยวชาญ
  • ระดับ 2 จำนวน 20 ราย : เกษตรกรที่เริ่มนำระบบ AI Farm ไปประยุกต์ใช้จริงในฟาร์ม
  • ระดับ 1 จำนวน 418 ราย : เกษตรกรทั่วไปที่ได้รับการอบรมและความรู้พื้นฐานเพื่อนำไปพัฒนาต่อยอด

สิ่งนี้ช่วยสร้างเครือข่ายนวัตกรชุมชนที่เข้มแข็ง พร้อมต่อยอดสู่การพัฒนาเชิงพื้นที่อย่างยั่งยืน

ด้านเทคโนโลยี

โครงการได้สร้างฐานข้อมูล Big Data ของโคขุน ทั้งข้อมูลสายพันธุ์ น้ำหนัก สุขภาพ ต้นทุนการเลี้ยง คุณภาพซาก และผลการประเมินตลาด ข้อมูลเหล่านี้สามารถนำไปใช้พัฒนาเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูง ต่อยอดสู่ เกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) รวมถึงการทำ ระบบคาดการณ์ (Forecasting) เพื่อช่วยเกษตรกรตัดสินใจได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น

ด้านเครือข่ายวิจัย

โครงการก่อให้เกิดความร่วมมือระหว่างหลายภาคส่วน ได้แก่

  • ภาครัฐ : สนับสนุนเชิงนโยบายและการเผยแพร่นวัตกรรม
  • ภาคเอกชน : เชื่อมโยงการตลาดและระบบประมูลซากโคขุนออนไลน์
  • วิสาหกิจชุมชน : ผู้ใช้ประโยชน์โดยตรงจากนวัตกรรม
  • มหาวิทยาลัย : ศูนย์กลางการวิจัยและการถ่ายทอดความรู้

การทำงานร่วมกันนี้ไม่เพียงช่วยแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ยังวางรากฐานสำคัญในการต่อยอดงานวิจัยและพัฒนานวัตกรรมในอนาคต สร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่เอื้อต่อการพัฒนาฟาร์มโคขุนอย่างยั่งยืน